10 อันดับ สถานที่สุดแปลก อีกหนึ่งหัวข้อที่น่าพูดในช่วงเวลานี้ คือสถานที่ท่องเที่ยวสุดแปลก แต่ก็มีสเหน่ห์ น่าหลงใหล ถึงแม้จะแปลก แต่ก็ความแปลกเหล่านั้น กลับเป็นสิ่งที่สร้างความพิเศษให้แก่ สถานที่นั้นเป็นอย่างมาก สถานที่แปลกๆ ที่ทางเว็บไซต์ 10 อันดับ ของเราจะนำมาให้ทุกท่านได้อ่านกันวันนี้ จะมีที่ใดบ้าง ไปดูกันเลย !!
ภูเขาสายรุ้ง Vinicunca ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอนดีส ประเทศเปรู เป็นภูเขาที่สวยงามโดดเด่นด้วยแถบสีสันสดใส เกิดจากการสะสมของแร่ธาตุต่างๆ ในแต่ละชั้นหิน ซึ่งทำให้เกิดสีสันที่แตกต่างกันไป เช่น สีแดง เหลือง ม่วง และเขียว ภูเขาแห่งนี้จึงกลายเป็นหนึ่งใน สถานที่ ท่องเที่ยว ยอดนิยมของเปรู และได้รับการขนานนามว่าเป็น “มงกุฎแห่งเทือกเขาแอนดีส” ถึงแม้จะเป็น สถานที่สุดแปลก แต่ก็มีสเหน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
ภูเขาสายรุ้ง Vinicunca ตั้งอยู่ห่างจากเมือง Cusco ประมาณ 150 กิโลเมตร การเดินทางไปยังภูเขาแห่งนี้สามารถทำได้โดยรถยนต์หรือรถบัส โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นต้องเดินเท้าต่ออีกประมาณ 4 กิโลเมตร ระดับความสูงของภูเขาอยู่ที่ประมาณ 5,200 เมตร ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนเดินทาง
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมภูเขาสายรุ้ง Vinicunca คือในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้ง อากาศจะเย็นสบายและท้องฟ้าแจ่มใส ทำให้มองเห็นสีสันของภูเขาได้อย่างชัดเจน
นอกจากการเดินเท้าชมภูเขาสายรุ้ง Vinicunca แล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจในบริเวณใกล้เคียง เช่น ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขา เยี่ยมชมหมู่บ้านโบราณ หรือเดินป่าศึกษาธรรมชาติ
ภูเขาสายรุ้ง Vinicunca เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและต้องการสัมผัสกับความสวยงามของมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ
เคล็ดลับในการชมภูเขาสายรุ้ง Vinicunca
ภูเขาสายรุ้ง ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอนดีส ประเทศเปรู เป็น สถาน ที่ ท่องเที่ยว แปลก ๆ ยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาชื่นชมความงดงามของแถบสีสันสดใสบนภูเขาแห่งนี้ อย่างที่เห็นว่า สถานที่สุดแปลก แต่ก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเดินทางไปภูเขาสายรุ้ง Vinicunca ได้แก่
ถ้ำคริสตัลยักษ์ (Cueva de los Cristales) ตั้งอยู่ในเหมือง Naica รัฐชิวาวา ประเทศเม็กซิโก เป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงจากผลึกแร่ยิปซัมขนาดใหญ่ แท่งผลึกยิปซัมเหล่านี้มีความยาวตั้งแต่ไม่กี่เมตรไปจนถึง 12 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 เมตร และหนัก 55 ตัน ถ้ำคริสตัลยักษ์แห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “ห้องโถงคริสตัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
ถ้ำ คริสตัล ยักษ์ ก่อตัวขึ้นจากการไหลของน้ำบาดาลที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ น้ำบาดาลเหล่านี้ไหลผ่านชั้นหินปูนเป็นเวลาหลายพันล้านปี จนทำให้แร่ธาตุตกตะกอนเป็นแท่งผลึกยิปซัมขนาดใหญ่ ผลึกยิปซัมเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้สภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้น อุณหภูมิในถ้ำคริสตัลยักษ์สูงถึง 58 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์สูงถึง 99%
ถ้ำคริสตัลยักษ์ถูกค้นพบในปี 2538 โดยนักขุดเหมือง ถ้ำแห่งนี้ถูกปิดไม่ให้สาธารณชนเข้าชมจนถึงปี 2549 เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในถ้ำที่อันตราย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมถ้ำคริสตัลยักษ์ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน และจะต้องสวมชุดพิเศษเพื่อป้องกันความร้อนและความชื้น
ถ้ำคริสตัลยักษ์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ถ้ำแห่งนี้เป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก และยังเป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพลังธรรมชาติ
ถ้ำคริสตัลยักษ์ตั้งอยู่ที่ระดับความลึก 263 เมตรใต้พื้นดิน อุณหภูมิในถ้ำสูงถึง 58 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์สูงถึง 99% จึงอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น อาการแพ้ความร้อน (Heatstroke) นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนเดินทาง โดยดื่มน้ำให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวควรใช้เวลาปรับตัวกับระดับความสูงก่อนลงไปชมถ้ำ โดยอาจพักค้างคืนที่เมือง Chihuahua ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่สูงกว่าถ้ำคริสตัลยักษ์ ประมาณ 1,200 เมตร
เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น
อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเดินทางไปถ้ำคริสตัลยักษ์ ได้แก่
เตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ
นอกจากการเตรียมตัวด้านร่างกายและอุปกรณ์ที่จำเป็นแล้ว นักท่องเที่ยวควรเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ ดังนี้
ข้อควรระวังในการชมถ้ำคริสตัลยักษ์
น้ำตกสีเลือด (Blood Falls) ตั้งอยู่ในหุบเขา Taylor ของ McMurdo Dry Valleys ทวีปแอนตาร์กติกา เป็นน้ำตกที่ไหลออกมาจากธารน้ำแข็ง Taylor น้ำตกแห่งนี้มีสีแดงสดราวกับเลือด น้ำตกสีเลือดเกิดจากแร่ธาตุที่ชื่อว่า เฟอรัส ออกไซด์ (Iron Oxide) ละลายออกมาจากธารน้ำแข็ง เฟอรัส ออกไซด์ เป็นสารที่พบได้ทั่วไปในหินและดิน เมื่อมีออกซิเจน เฟอรัส ออกไซด์ จะเปลี่ยนเป็นสีแดง
น้ำตก สีเลือด ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1911 โดยนักธรณีวิทยาชาวออสเตรเลีย Thomas Griffith Taylor ซึ่งเป็นผู้ตั้งชื่อให้น้ำตกแห่งนี้ว่า Blood Falls
น้ำตกสีเลือดเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก น้ำตกแห่งนี้เป็นตัวอย่างของสภาพแวดล้อมที่รุนแรงของทวีปแอนตาร์กติกา น้ำตกสีเลือดไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และสามารถเข้าชมได้เฉพาะในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น
น้ำตกสีเลือดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในทวีปแอนตาร์กติกา น้ำตกแห่งนี้เป็นตัวอย่างของพลังของธรรมชาติและความสวยงามของทวีปที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง
ทวีปแอนตาร์กติกา เป็นทวีปที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนเดินทาง โดยดื่มน้ำให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวควรใช้เวลาปรับตัวกับสภาพอากาศก่อนเดินทางไปแอนตาร์กติกา โดยอาจพักค้างคืนที่เมือง Christchurch ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับ McMurdo Station ซึ่งเป็นฐานทัพหลักของทวีปแอนตาร์กติกา
เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น
อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเดินทางไปน้ำตกสีเลือด ได้แก่
Jellyfish Lake (Ongeim’l Tketau) ตั้งอยู่บนเกาะ Eil Malk ใน Palau เป็นทะเลสาบที่มีประชากรแมงกะพรุนที่หนาแน่นที่สุดในโลก แมงกะพรุน เหล่านี้เป็นสายพันธุ์ Mastigias papua etpisoni ที่ไม่มีพิษและไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
ทะเลสาปแมงกะพรุน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน เมื่อน้ำทะเลได้ไหลท่วมถ้ำบนเกาะ Eil Malk และตัดขาดแมงกะพรุนจากมหาสมุทร แมงกะพรุนเหล่านี้ได้วิวัฒนาการจนสูญเสียความสามารถในการว่ายน้ำและพึ่งพาแพลงก์ตอนเป็นอาหาร
ปัจจุบัน มีประชากรแมงกะพรุนประมาณ 2 ล้านตัว แมงกะพรุนเหล่านี้จะว่ายไปมาอย่างอิสระในทะเลสาบ นักท่องเที่ยวสามารถว่ายน้ำกับฝูงแมงกะพรุนได้อย่างปลอดภัย
Jellyfish Lake เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ Palau และได้รับการขนานนามว่าเป็น “The Swimming Pool of the Gods” นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยัง Jellyfish Lake ได้โดยการล่องเรือจาก Koror ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Palau
ข้อควรระวังในการว่ายน้ำใน Jellyfish Lake
Jellyfish Lake เป็นสถานที่ที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประสบการณ์การว่ายน้ำกับฝูงแมงกะพรุนอย่างปลอดภัย
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเยี่ยมชม แมงกะพรุน
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม คือในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ซึ่งเป็นช่วง dry season ในช่วงนี้อากาศจะอบอุ่นและน้ำจะใส ทำให้สามารถมองเห็นฝูงแมงกะพรุนได้อย่างชัดเจน
แม่น้ำสายรุ้ง (Caño Cristales) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Serranía de la Macarena ทางตะวันออกของโคลอมเบีย เป็นแม่น้ำที่มีชื่อเสียงจากสีสันที่สดใสของน้ำ แม่น้ำสายรุ้งมีความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร และไหลผ่านป่าฝนเขตร้อน แม่น้ำสายรุ้งมีสีสันที่สดใสเกิดจากสาหร่ายสีแดงที่ชื่อ Macarenia clavigera สาหร่ายเหล่านี้จะเจริญเติบโตในแม่น้ำสายรุ้งในช่วงฤดูฝน (เมษายน-พฤศจิกายน) สาหร่ายเหล่านี้จะเปลี่ยนสีตามระดับความสูงของน้ำ จึงทำให้แม่น้ำสายรุ้งมีสีสันที่หลากหลาย เช่น สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีฟ้า และสีเขียว
แม่น้ำสายรุ้งถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1943 แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างจนกระทั่งปี 2000 แม่น้ำสายรุ้งได้รับการขนานนามว่าเป็น “แม่น้ำสายรุ้งแห่งโคลอมเบีย” และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของยูเนสโกในปี 2011
แม่น้ำสายรุ้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโคลอมเบีย นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมแม่น้ำสายรุ้งได้ในช่วงฤดูฝน แม่น้ำสายรุ้งเป็นสถานที่ที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก
อุโมงค์แห่งความรัก (Tunnel of Love) ตั้งอยู่ในเขตเมือง Klevan ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศยูเครน เป็นอุโมงค์รถไฟที่ทอดตัวยาวประมาณ 4 กิโลเมตร อุโมงค์แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้ ทำให้มีความสวยงามและโรแมนติก
อุโมงค์แห่งความรักถูกสร้างขึ้นโดยชาวท้องถิ่นในปี 1960 เพื่อใช้เป็นทางลัดในการขนส่งไม้จากป่าไปยังโรงงานไม้อัด อุโมงค์แห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและคู่รัก เนื่องจากบรรยากาศที่โรแมนติกและสวยงาม อุโมงค์แห่งความรักได้รับการขนานนามว่าเป็น “สถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกแห่งยูเครน“
อุโมงค์แห่งความรักเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของยูเครน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปชมอุโมงค์แห่งความรักได้ในช่วงฤดูร้อน (พฤษภาคม-กันยายน) ในช่วงนี้ต้นไม้และพุ่มไม้จะเขียวชอุ่มและออกดอก ทำให้อุโมงค์แห่งความรักมีความสวยงามและโรแมนติกมากยิ่งขึ้น
Deadvlei (Dead Vlei) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Namib-Naukluft ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนามิเบีย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนามิเบีย บึงแห่งนี้เป็นทะเลสาบโบราณที่แห้งเหือดไปแล้ว เหลือแต่ซากต้นกระบองเพชรที่ยืนต้นตายอยู่กลางบึง
Deadvlei เกิดจากการที่แม่น้ำ Tsauchab เคยไหลผ่านพื้นที่แห่งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม่น้ำได้เปลี่ยนเส้นทาง บึงแห่งนี้จึงแห้งเหือดลง ต้นกระบองเพชรที่เติบโตในบึงแห่งนี้จึงตายไป เหลือแต่ซากยืนต้นอยู่จนถึงปัจจุบัน
Deadvlei เป็นสถานที่ที่งดงามและน่าทึ่ง เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติและพลังของกาลเวลา
ข้อควรระวังในการเยี่ยมชม Deadvlei
ทะเลสาบแห่งแร่ธาตุ (Spotted Lake) ตั้งอยู่ในเขตชนบทของเมือง Khiluk ในรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เป็นทะเลสาบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากมีสีสันที่สดใสแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ขึ้นอยู่กับปริมาณแร่ธาตุในน้ำ
ทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากการที่น้ำจากแม่น้ำ Okanagan ไหลผ่านชั้นหินปูนที่มีแร่ธาตุต่างๆ มากมาย เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต แมกนีเซียมซัลเฟต และโพแทสเซียมคลอไรด์ เมื่อน้ำระเหยไป แร่ธาตุเหล่านี้ก็จะตกตะกอนอยู่ด้านล่างของทะเลสาบ ทำให้เกิดเป็นลวดลายสีสันสดใสที่แตกต่างกันไป
ในช่วงฤดูร้อน ทะเลสาบแห่งแร่ธาตุจะมีสีสันที่สดใสมากที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นลวดลายสีสันต่างๆ ของทะเลสาบได้อย่างชัดเจน ทะเลสาบแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของแคนาดา
ข้อควรระวังในการเยี่ยมชมทะเลสาบแห่งแร่ธาตุ
1. ทะเลสาบแห่งแร่ธาตุเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว จึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงฤดูร้อน นักท่องเที่ยวควรวางแผนการเดินทางและจองที่พักล่วงหน้า
2. ทะเลสาบแห่งแร่ธาตุตั้งอยู่ในเขตชนบทของแคนาดา นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินทาง โดยดื่มน้ำให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ
3. ทะเลสาบแห่งแร่ธาตุเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างอันตราย เนื่องจากมีพื้นผิวที่เป็นหินกรวดและตะกอนแร่ธาตุ
4. นักท่องเที่ยวควรสวมรองเท้าที่ใส่สบายและเหมาะสมกับสภาพอากาศ
Die Rakotzbrücke (Rakotz Bridge) เป็นสะพานโค้งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานครอมเลา-อาซาเลียและโรโดเดนดรอน ในเขตกาเบนซ์ เมืองเกอร์ลิทซ์ รัฐซัคเซิน ทางตะวันออกของเยอรมนี สะพานแห่งนี้มีความยาว 35 เมตร และมีลักษณะโค้งแปลกตา จึงทำให้ดูเหมือนวงกลมเมื่อมองผ่านน้ำ สะพานแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า “สะพานปีศาจ“
สะพาน Rakotzbrücke สร้างขึ้นในปี 1860 โดยช่างฝีมือชาวเยอรมันชื่อ Carl Ferdinand Langhans สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยหินทรายและหินปูน สะพานแห่งนี้มีความสวยงามและแปลกตา จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี
ตามตำนานเล่าว่า สะพาน Rakotzbrücke ถูกสร้างขึ้นโดยซาตาน ซาตานสร้างสะพานแห่งนี้เพื่อแลกกับวิญญาณของช่างฝีมือผู้สร้างสะพาน ในปัจจุบัน สะพาน Rakotzbrücke ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสะพานแห่งนี้ต่างก็พากันถ่ายรูปกับสะพานแห่งนี้ สะพาน Rakotzbrücke จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแปลกตาและน่าพิศวง
Salar de Uyuni (ซาลาร์ เดอ อูยูนี) เป็น ทะเลเกลือ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโบลิเวีย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร สูงจากระดับน้ำทะเล 3,600 เมตร
Salar de Uyuni เกิดจากการที่ ทะเลสาบมิสตีเนียน (Lake Minchin) ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ได้แห้งเหือดลงเมื่อประมาณ 40,000 ปีก่อน เกลือที่ตกตะกอนอยู่ด้านล่างของทะเลสาบจึงกลายเป็นทะเลเกลือขนาดใหญ่ในปัจจุบัน
Salar de Uyuni เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโบลิเวีย นักท่องเที่ยวสามารถชมความงดงามของทะเลเกลือได้ในช่วงฤดูแล้ง (เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม) เมื่อน้ำระเหยไป ทะเลเกลือจะกลายเป็นผืนสีขาวที่กว้างใหญ่ไพศาล นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของท้องฟ้าและทะเลเกลือได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าท้องฟ้าและทะเลเกลือเชื่อมต่อกันเป็นผืนเดียว
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถชมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าสนใจอื่นๆ ที่ Salar de Uyuni เช่น สะท้อนเงาของสิ่งต่างๆ บนพื้นผิวของทะเลเกลือ ทะเลสาบขนาดเล็กที่เกิดจากการระเหยของน้ำจากทะเลเกลือ และเสาหินเกลือที่เกิดจากการทับถมของเกลือเป็นเวลานาน
10 อันดับของสิ่งแปลกๆที่สุดทั่วโลก ! เตรียมพร้อมไปกับเนื้อหาความรู้สุดพิเศษ ไม่เหมือนใคร